ในปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และผู้ที่มองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนปล่อยเช่า โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความคุ้มค่าในการลงทุนก็คือ “ทำเล” ซึ่งมีผลต่อทั้งราคาซื้อ - ขาย และค่าเช่ารายเดือน รวมถึงค่า Gross Rental Yield หรืออัตราผลตอบแทนจากการเช่ารายปีเบื้องต้นเมื่อเทียบกับราคาคอนโด
จากรายงานล่าสุดของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) พบว่า มี 5 ทำเลน่าลงทุนคอนโดในกรุงเทพฯ ปี 2568 ยังคงครองตำแหน่งทำเลทองที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Gross Rental Yield) และแนวโน้มการเติบโตของราคาทรัพย์สิน ทำให้ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์
5 ทำเลน่าลงทุนคอนโดในกรุงเทพฯ ปี 2568
1. พระราม 9 - เพชรบุรี - อโศก
New CBD ที่โตไม่หยุด
โซน พระราม 9 - เพชรบุรี - อโศก ได้รับการยกย่องว่าเป็น "New CBD" ของกรุงเทพฯ เนื่องจากการพัฒนาและการเติบโตที่รวดเร็วในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของ อาคารสำนักงาน ที่มีความหนาแน่นสูง, ห้างสรรพสินค้า และ ศูนย์การค้า ซึ่งเป็นแหล่งรวมของทั้งการช้อปปิ้งและความบันเทิงสำหรับคนเมือง รวมถึงระบบ ขนส่งสาธารณะที่ครบครัน ที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย เช่น รถไฟฟ้า MRT และการเชื่อมต่อที่ง่ายดายกับเส้นทางหลักอื่นๆ ของเมือง ทำให้ย่านนี้เป็นทำเลที่มีความสะดวกทั้งสำหรับการอยู่อาศัยและการทำงาน
Gross Rental Yield ในปี 2568 ของโซนนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเช่าในหลายโซนอื่น ๆ ของกรุงเทพฯ นี่เป็นการสะท้อนถึงความต้องการที่สูงจากทั้งผู้ที่ต้องการเช่าคอนโดเพื่ออยู่อาศัยและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการสร้างรายได้จากการปล่อยเช่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้เช่าที่เป็นคนทำงานในย่านนี้ที่มีความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรอบด้าน
ทั้งนี้ การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน, สถานีรถไฟฟ้า, และการขยายตัวของห้างสรรพสินค้า รวมถึงโครงการ Mixed-Use ที่มีทั้งพื้นที่สำนักงาน, คอนโดมิเนียม, และร้านค้าต่างๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนในพื้นที่นี้ และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
การเติบโตของพื้นที่ทำให้ผู้ลงทุนเห็นถึงโอกาสที่ดีในการซื้อหรือเช่าคอนโดในทำเลนี้ โดยไม่เพียงแต่ได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่าเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มมูลค่าทรัพย์สินที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
2. ลาดพร้าว - รัชโยธิน
ศูนย์กลางเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 3 สาย
ย่านลาดพร้าว - รัชโยธิน กำลังกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางคมนาคมใหม่ของกรุงเทพฯ ด้วยการเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ BTS สายสีเขียว (หมอชิต - คูคต), MRT สายสีน้ำเงิน และ MRT สายสีเหลือง ทำให้การเดินทางเข้าเมืองและออกนอกเมืองเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปยังย่านอโศก สุขุมวิท หรือแม้แต่สนามบินดอนเมือง
พื้นที่นี้ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยนมอลล์, เมเจอร์รัชโยธิน, อาคารสำนักงานหลายแห่ง รวมถึงสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เช่น ม.เกษตรศาสตร์ และม.ราชภัฏจันทรเกษม ทำให้มีดีมานด์จากผู้เช่าที่อยู่อาศัยสูง โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศ
Gross Rental Yield เฉลี่ยในย่านนี้อยู่ที่ประมาณ 4.7% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับทำเลอื่นที่มีระดับราคาคล้ายกัน จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่มั่นคง และมีโอกาสเติบโตของมูลค่าทรัพย์ในระยะยาว
3. เอกมัย - ทองหล่อ
ทำเลหรูที่ยังแรงต่อเนื่อง
ย่านทองหล่อ ถือเป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพระดับพรีเมียมของกรุงเทพฯ ที่ไม่เคยหลุดจากเรดาร์ของนักลงทุน ทั้งจากในประเทศและต่างชาติ ด้วยบรรยากาศแบบ High-end Lifestyle ที่รายล้อมไปด้วยคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี, ร้านอาหารชื่อดัง, บาร์และคาเฟ่สุดฮิป ไปจนถึงคลินิกความงามและสปาระดับพรีเมียม จึงไม่น่าแปลกใจที่ราคาคอนโดในพื้นที่นี้จะมีราคาขายเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 250,000 บาท/ ตร.ม.
อย่างไรก็ตาม โซนนี้ยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ดี ด้วยอัตรา Gross Rental Yield อยู่ที่ประมาณ 4 - 5% ซึ่งถือว่าสูงสำหรับทำเลที่ราคาขายอยู่ในระดับสูง โดยผู้เช่าส่วนใหญ่คือกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย ผู้บริหารระดับสูง ไปจนถึงกลุ่มคนไทยที่มีกำลังซื้อและต้องการไลฟ์สไตล์แบบครบจบในที่เดียว
ส่วนฝั่ง เอกมัย ซึ่งอยู่ติดกับทองหล่อ ก็เป็นอีกทำเลที่น่าจับตามอง เพราะยังคงได้อานิสงส์จากทองหล่อโดยตรง ทั้งในแง่ของบรรยากาศ การเดินทาง และสิ่งอำนวยความสะดวก แต่มี ราคาคอนโดที่เริ่มต้นต่ำกว่า ทำให้มีโอกาสในการเติบโตของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อเก็บผลตอบแทนระยะยาว หรือจับตลาดผู้เช่ากลุ่มคนทำงานระดับกลางถึงสูงที่ต้องการทำเลใจกลางเมืองในราคาที่ยังเอื้อมถึง
4. รัชดา - ห้วยขวาง
ย่านสุดฮอตของชาวจีนและนักท่องเที่ยว
รัชดา - ห้วยขวาง เป็นอีกหนึ่งทำเลศักยภาพที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการปล่อยเช่าคอนโดให้กับกลุ่มชาวต่างชาติ เพราะพื้นที่นี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ไชน่าทาวน์แห่งใหม่” ของกรุงเทพฯ ด้วยชาวจีนจำนวนมากที่เข้ามาทำงาน เรียน หรือท่องเที่ยวในไทย ต่างเลือกพักอาศัยในย่านนี้เป็นหลัก เนื่องจากเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ซึ่งเชื่อมต่อไปยังใจกลางเมืองและสนามบินได้ง่าย
ย่านนี้ยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ตลาดกลางคืน ร้านอาหารนานาชาติ สถานบันเทิง และศูนย์การค้า เช่น The Street, Esplanade รัชดา และ Central พระราม 9 ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มวัยทำงาน นักศึกษา และนักท่องเที่ยว
ด้วยดีมานด์จากผู้เช่าที่มีอย่างต่อเนื่อง ทำให้คอนโดในโซนนี้สามารถสร้าง Gross Rental Yield ได้เฉลี่ยประมาณ 4.0 - 4.45% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาคอนโดที่ยังไม่สูงเกินไป จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายใหม่สามารถเข้าถือครองสินทรัพย์และเก็บผลตอบแทนระยะยาวได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ แนวโน้มการพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงดีมานด์จากผู้เช่าชาวต่างชาติที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้รัชดา - ห้วยขวาง กลายเป็นหนึ่งในทำเล “กลางเมืองราคายังไปได้” ที่เหมาะสำหรับทั้งการซื้ออยู่เองและลงทุนเพื่อปล่อยเช่าในปี 2568
5. บางนา - ศรีนครินทร์
ทำเลศักยภาพบนฝั่งตะวันออก ที่น่าจับตาในระยะยาว
บางนา - ศรีนครินทร์ เป็นหนึ่งในทำเลนอกเมืองชั้นในที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากย่านที่เคยถูกมองข้าม กลับกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ทั้งด้านที่อยู่อาศัย เชิงพาณิชย์ และ Mixed-use เช่น Bangkok Mall, The Forestias และ Mega City Bangna ซึ่งช่วยดึงดูดทั้งผู้พักอาศัยและนักลงทุนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยผลักดันศักยภาพของทำเล บางนา - ศรีนครินทร์ คือการเปิดให้บริการ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว - สำโรง) ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ โดยเชื่อมต่อกับสายรถไฟฟ้าอื่น ๆ เช่น สายสีเขียว และ สายสีน้ำเงิน ทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพในการเติบโตทั้งในด้านที่อยู่อาศัยและการลงทุน
แม้ว่า Gross Rental Yield ของย่านนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3.5 - 3.9% ซึ่งต่ำกว่าทำเลใจกลางเมือง แต่กลับมีศักยภาพในการเติบโตของมูลค่าในระยะยาว อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่าในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่าทำเลในชั้นใน
ในภาพรวม บางนา - ศรีนครินทร์ กำลังกลายเป็น ทำเลทองของคนรุ่นใหม่และครอบครัว ที่ต้องการชีวิตที่สมดุลระหว่างความสะดวกสบายและราคาที่จับต้องได้
คอนโดติดรถไฟฟ้า ใครซื้อ? ใครลงทุน?
1. ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง
กลุ่มเป้าหมาย: พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา ครอบครัวขนาดเล็ก
ลักษณะ: เน้นเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าและแหล่งไลฟ์สไตล์
ทำเลแนะนำ: พระราม 9 - อโศก
- ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (New CBD)
- ใกล้ MRT สายสีน้ำเงิน และเชื่อมต่อ BTS อโศก
- แหล่งไลฟ์สไตล์ครบ เช่น Central Rama 9, Fortune
2. นักลงทุนปล่อยเช่า
กลุ่มเป้าหมาย: ชาวต่างชาติ/ นักท่องเที่ยว
ลักษณะ: เน้นทำเลมีดีมานด์เช่าสูง และผลตอบแทนค่าเช่าดี
ทำเลแนะนำ: รัชดา - ห้วยขวาง
- ใกล้สถานทูตจีน โรงแรม ห้าง Esplanade
- เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคนจีนจำนวนมาก
- Rental Yield: 4.0 - 4.45% ต่อปี
3. นักลงทุนเก็งกำไร
กลุ่มเป้าหมาย: ผู้ต้องการซื้อก่อนราคาขึ้น
ลักษณะ: เน้นโครงการใหม่ในทำเลอนาคต ที่ราคายังไม่สูง
ทำเลแนะนำ: บางนา - ศรีนครินทร์
- ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง + MEGA Bangna
- ใกล้ทางด่วนและสนามบินสุวรรณภูมิ
- ระยะเวลาการลงทุน: 2 - 5 ปี
ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนการลงทุนในอสังหาฯ ปี 2568
นอกจากเรื่องทำเล รายงานล่าสุดจาก Krungthai COMPASS ยังชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีผลต่อความน่าสนใจของการลงทุนคอนโดเช่นกัน โดยในปี 2568 คาดว่าการลงทุนภาคเอกชนของไทยจะกลับมาขยายตัวได้ ราว 3.0% หลังจากที่หดตัวในปี 2567
แรงขับเคลื่อนหลักมาจาก
- การย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
- เงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากจีนและสิงคโปร์
- การพัฒนาในพื้นที่ EEC (ชลบุรี - ระยอง) ซึ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมากถึง 4.38 แสนล้านบาท
ผลกระทบเชิงบวกนี้จะส่งต่อถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ผ่านความต้องการซื้อและเช่าที่อยู่อาศัย ตลอดจนพื้นที่สำนักงาน โดยเฉพาะจากนักลงทุนและผู้บริหารที่ย้ายมาทำงานในไทย
ปี 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาด “คอนโดมิเนียม” ในกรุงเทพฯ ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะใน 5 ทำเลเด่น ที่อยู่ในแนวทางพัฒนาเมือง ทั้งจากโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ และแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจหรือ Mixed-use ขนาดใหญ่ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันมูลค่าทรัพย์สินและอัตราค่าเช่าให้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่ว่าจะซื้อเพื่อ อยู่อาศัยเอง หรือมองหาโอกาส ปล่อยเช่าเพื่อรับผลตอบแทน (Gross Rental Yield) หากเลือกทำเลที่เหมาะสม พร้อมศึกษาข้อมูลประกอบ เช่น ความต้องการเช่าในพื้นที่ สาธารณูปโภคโดยรอบ และแผนพัฒนาในอนาคต ย่อมช่วยให้การลงทุนมีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ที่สำคัญ การวางแผนอย่างรอบคอบ โดยอิงทั้ง “ทำเล” และ “ปัจจัยเศรษฐกิจ” เช่น ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และแนวโน้มการเติบโตของกำลังซื้อในพื้นที่ จะทำให้นักลงทุนสามารถเลือกทรัพย์สินที่มั่นคง พร้อมต่อยอดสร้างรายได้ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
| ค้นหาคอนโดน่าลงทุน ได้ที่ Nestopa.com