สังหาริมทรัพย์ในระบบกฎหมายไทยมีการแบ่งประเภทที่หลายคนอาจไม่ทราบ นอกจากสังหาริมทรัพย์ทั่วไปที่เราคุ้นเคยแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ" ซึ่งมีกฎเกณฑ์และข้อกำหนดที่แตกต่างออกไป สำหรับผู้ที่สนใจทำความเข้าใจเรื่องกฎหมาย การลงทุน หรือการซื้อขายทรัพย์สิน การรู้จักความแตกต่างของสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
บทความนี้ Nestopa จะช่วยให้คุณเข้าใจกับสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ตั้งแต่ความหมาย ตัวอย่าง ความแตกต่างจากสังหาริมทรัพย์ทั่วไป
ทำความรู้จัก สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษคืออะไร?

สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้เหมือนสังหาริมทรัพย์ทั่วไป แต่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการจดทะเบียนหรือทำตามขั้นตอนพิเศษ เช่น การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ตัวอย่างเช่น เรือใหญ่ แพ หรือสัตว์พาหนะ จึงต่างจากสังหาริมทรัพย์ทั่วไปที่สามารถโอนหรือซื้อขายได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
เรือยนต์ขนาดใหญ่
กฎหมายกำหนดให้เรือที่มีระวางบรรทุกตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป หรือเรือกลไฟและเรือยนต์ ต้องมีการจดทะเบียน และการโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่
แพ
จัดอยู่ในหมวดเดียวกับเรือ ต้องมีการจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ตามแบบกฎหมาย
อากาศยาน
เช่น เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ ต้องจดทะเบียนกับกรมการบินพลเรือน และการโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำตามแบบกฎหมาย ไม่สามารถโอนด้วยการส่งมอบธรรมดาได้
สัตว์พาหนะ
เช่น ม้า ช้าง วัว ควาย หรือสัตว์ที่ใช้ลากจูง ต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียน เพื่อยืนยันสิทธิในการครอบครองและป้องกันข้อพิพาท
ความแตกต่างระหว่างสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษกับสังหาริมทรัพย์ทั่วไป
สังหาริมทรัพย์ทั่วไปคือทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ง่าย เพียงแค่มีการส่งมอบ เช่น รถยนต์ โทรศัพท์ หรือเฟอร์นิเจอร์ โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ ในขณะที่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ แม้จะเคลื่อนย้ายได้เช่นกัน แต่กฎหมายกำหนดให้การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนคล้ายกับอสังหาริมทรัพย์ ความต่างจึงอยู่ที่ขั้นตอนการโอนสิทธิซึ่งเข้มงวดกว่า เพื่อความถูกต้องและป้องกันข้อพิพาท
ด้านการจดทะเบียน
สังหาริมทรัพย์ทั่วไป สามารถซื้อขายได้โดยการทำสัญญาง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน เช่น การซื้อเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องประดับ
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ต้องมีการจดทะเบียนเป็นหลักฐาน การซื้อขายต้องดำเนินการผ่านการโอนทะเบียนตามกฎหมาย หากไม่จดทะเบียน การโอนกรรมสิทธิ์อาจไม่สมบูรณ์
ด้านกระบวนการซื้อขาย
สัญญาซื้อขายมีกี่ประเภท อะไรบ้าง เมื่อพูดถึงสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จะต้องมีขั้นตอนเพิ่มเติม เช่น การตรวจสอบประวัติ การประเมินมูลค่า และการดำเนินการทางกฎหมายที่ซับซ้อนกว่า
ด้านข้อกำหนดพิเศษ
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษมักมีข้อกำหนดเพิ่มเติม เช่น การต่อใบอนุญาต การตรวจสภาพ การประกันภัย และการปฏิบัติตามกฎระเบียบเฉพาะของแต่ละประเภท
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษในระบบกฎหมายไทย

สังหาริมทรัพย์พิเศษในระบบกฎหมายไทยมีรากฐานมาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีหลักการสำคัญดังนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษในระบบกฎหมายไทย มีรากฐานสำคัญจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ซึ่งบัญญัติว่า “การขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษอย่างใด ๆ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นโมฆะ” โดยสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้แก่ เรือที่มีระวางบรรทุกตั้งแต่หกตันขึ้นไป หรือเรือกลไฟและเรือยนต์ตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป, แพ, สัตว์พาหนะ รวมถึง สังหาริมทรัพย์อื่นที่กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียน (เช่น อากาศยาน ตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
เงื่อนไขในการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์
เงื่อนไขในการได้มาซึ่ง กรรมสิทธิ์ ในกฎหมายไทย ขึ้นอยู่กับ ประเภทของทรัพย์สิน และ ลักษณะการได้มา ดังนี้
1. สังหาริมทรัพย์ทั่วไป
-
การโอนกรรมสิทธิ์ทำได้โดยการ ส่งมอบ (มาตรา 453 ป.พ.พ.)
-
เช่น ซื้อขายรถ โทรศัพท์ เฟอร์นิเจอร์ เมื่อส่งมอบแล้ว ผู้ซื้อก็ได้กรรมสิทธิ์ทันที
2. สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
-
ตาม มาตรา 456 ป.พ.พ. การโอนกรรมสิทธิ์ต้อง ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
-
ตัวอย่าง: เรือใหญ่ แพ สัตว์พาหนะ และอากาศยาน หากไม่ทำตามแบบ สัญญาจะตกเป็นโมฆะ
3. วิธีการได้มาโดยนิติกรรมอื่น ๆ
การซื้อขาย (มาตรา 453 และ 456 ป.พ.พ.) ต้องมีสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กฎหมายกำหนด สังหาริมทรัพย์ทั่วไป กรรมสิทธิ์โอนเมื่อมี การส่งมอบทรัพย์ ให้ผู้ซื้อ สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงจะโอนกรรมสิทธิ์ได้ (เช่น เรือใหญ่ แพ สัตว์พาหนะ อากาศยาน)
การรับมรดก (มาตรา 1599 ป.พ.พ.) ได้กรรมสิทธิ์เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ผู้รับมรดกต้องดำเนินการจดทะเบียนโอนชื่อในสมบัติที่เป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
การให้ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนโอนตามขั้นตอนที่กำหนด การให้ทั่วไป กรรมสิทธิ์โอนเมื่อผู้ให้ ส่งมอบทรัพย์ ให้แก่ผู้รับ การให้ทรัพย์ที่ต้องจดทะเบียน เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะสมบูรณ์ การให้ที่มีเงื่อนไขภายหลัง (เช่น ให้เมื่อเรียนจบ หรือเมื่อแต่งงาน) กรรมสิทธิ์จะโอนต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นเกิดขึ้นจริง
หน่วยงานที่รับผิดชอบ
แต่ละประเภทของสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษจะมีหน่วยงานเจ้าหน้าที่แตกต่างกัน เช่น
เรือและแพ
-
หน่วยงาน: กรมเจ้าท่า
-
ดูแลการจดทะเบียนเรือที่มีระวางบรรทุกตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไป และเรือกลไฟ/เรือยนต์ตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป รวมถึงแพ
-
ทุกการโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อกรมเจ้าท่า
อากาศยาน
-
หน่วยงาน: สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
-
รับผิดชอบการจดทะเบียนอากาศยาน การโอนกรรมสิทธิ์ และการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย
-
การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ กพท.
สัตว์พาหนะ (เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย)
-
หน่วยงาน: กรมปศุสัตว์
-
ดูแลการขึ้นทะเบียนสัตว์พาหนะเพื่อยืนยันสิทธิและป้องกันข้อพิพาท
-
การโอนกรรมสิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ที่กรมปศุสัตว์กำหนด
สรุป สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน
สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษเป็นทรัพย์สินที่มีความซับซ้อนมากกว่าสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ทั้งในด้านกฎหมาย ขั้นตอนการครอบครอง และการโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้ต้องมีการจดทะเบียนและปฏิบัติตามรูปแบบที่ชัดเจน เพื่อป้องกันข้อพิพาทและสร้างความโปร่งใสในทางธุรกรรม ถึงแม้จะมีความยุ่งยากในด้านการจัดการ แต่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษก็มีคุณค่าและประโยชน์เฉพาะตัวที่แตกต่าง เช่น ความมั่นคงทางสิทธิ และความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่สัญญาหรือผู้ลงทุน
ดังนั้น สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหรือซื้อสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องกฎหมาย เงื่อนไขการโอน และภาระผูกพันที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็น รวมถึงการประเมินความสามารถทางการเงินของตนเองอย่างรอบคอบ การทำความเข้าใจถึงความแตกต่างจากสังหาริมทรัพย์ทั่วไปจะช่วยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล ลดความเสี่ยงจากปัญหาในอนาคต และเพิ่มความมั่นใจในการจัดการทรัพย์สินได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย