แผ่นดินไหว อาจเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ทันตั้งตัว และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อบ้านเรือนและชีวิตของคนในครอบครัว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง อย่างในประเทศไทย ล่าสุดได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวจากจุดศูนย์กลางอยู่ที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ขนาด 8.2 ความลึก 10 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13:20 น. ตามเวลาท้องถิ่น และได้ส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยในหลายภูมิภาคอย่างภาคเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอีกด้วย แผ่นดินไหวในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับประเทศที่ได้รับผลกระทบ ทรัพย์สินเสียหายหลายล้าน ผู้คนบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
การเตรียมพร้อมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยได้ การเตรียมตัวล่วงหน้าไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดสำหรับคุณและคนที่รัก บทความนี้ เนสโทปา จะแนะนำอุปกรณ์ที่ควรมีไว้ในบ้าน เช่น ชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน แหล่งน้ำสำรอง และวิทยุสื่อสาร เพื่อช่วยรับมือกับแผ่นดินไหวในอนาคตและสร้างความมั่นใจให้กับครอบครัวในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

วิธีรับมือแผ่นดินไหวในบ้านได้อย่างปลอดภัย
1. การเสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างบ้าน
1.1 การติดตั้ง Foundation Bolting
Foundation bolting คือกระบวนการเสริมความแข็งแรงของฐานรากบ้านโดยใช้สลักเหล็กเพื่อยึดติดโครงสร้างบ้านกับพื้นดิน ช่วยป้องกันการเคลื่อนไหวระหว่างบ้านและฐานรากในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวหรือแรงสั่นสะเทือนอื่น ๆ โดยกระบวนการนี้เหมาะสำหรับบ้านที่โครงสร้างฐานรากยังไม่ได้รับการเสริมความแข็งแรง หรือบ้านเก่าที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย
ข้อดี
- ลดความเสี่ยงในการพังทลายของโครงสร้างบ้านที่เกิดจากแผ่นดินไหว
- เพิ่มความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับบ้านในระยะยาว
- เหมาะสำหรับทั้งบ้านเก่าและบ้านที่ยังไม่มีการติดตั้งระบบเสริมความแข็งแรง
ข้อควรระวัง
- ควรตรวจสอบโครงสร้างฐานรากของบ้านก่อนการติดตั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าเหมาะสมกับการใช้งาน Foundation bolting
- ควรเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการติดตั้ง
ค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับปานกลาง ขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน ประเภทของโครงสร้าง และจำนวนสลักที่ต้องใช้ โดยการลงทุนในกระบวนการนี้ถือว่าเป็นการเพิ่มความคุ้มค่าให้กับบ้านในระยะยาว เนื่องจากช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติในอนาคต
1.2 การเสริม Shear Walls
Shear walls คือการเพิ่มผนังเสริมแรงที่ออกแบบมาเพื่อช่วยรองรับและถ่ายแรงสั่นสะเทือนโดยตรงไปยังฐานรากของอาคาร ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวหรือแรงลมแรง การติดตั้ง shear walls จะช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความแข็งแรงให้กับโครงสร้างบ้าน ทำให้อาคารสามารถต้านทานแรงที่เกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น
ข้อดี
- ช่วยลดการโยกหรือการเคลื่อนที่ของบ้านในแนวราบอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บ้านมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น
- รองรับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในสถานการณ์แผ่นดินไหวหรือแรงลมรุนแรง
- ช่วยกระจายแรงให้ลงสู่ฐานรากได้อย่างสมดุล
ข้อเสีย
- การติดตั้ง shear walls ต้องใช้พื้นที่ภายในอาคารที่เพียงพอ ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับบ้านที่มีขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด
- ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับการเสริมโครงสร้างแบบ Foundation Bolting
- อาจต้องมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการออกแบบภายในบ้านเพื่อรองรับการติดตั้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบการใช้งานพื้นที่เดิม

2. อุปกรณ์ฉุกเฉินและอุปกรณ์ป้องกัน
ในกรณีแผ่นดินไหว การเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินที่ครบครันและพร้อมใช้งานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คุณและครอบครัวปลอดภัยระหว่างและหลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
2.1 อุปกรณ์ฉุกเฉินที่ควรมี
- ชุดปฐมพยาบาล: รวมอุปกรณ์พื้นฐาน เช่น พลาสเตอร์ปิดแผล ยาแก้ปวด น้ำยาฆ่าเชื้อ และผ้าพันแผล เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว
- น้ำและอาหารฉุกเฉิน: ควรเก็บน้ำดื่มและอาหารกระป๋องหรืออาหารแห้งไว้อย่างน้อย 7 วัน พร้อมกับอุปกรณ์เปิดกระป๋อง และตรวจสอบวันหมดอายุเป็นระยะ
- ไฟฉายและแบตเตอรี่สำรอง: เพื่อให้แสงสว่างในกรณีไฟฟ้าดับ ควรมีไฟฉายสำรองและแบตเตอรี่ไว้ในที่ที่หยิบใช้ได้ง่าย รวมถึงไฟฉายแบบชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์หรือลมหมุน
- วิทยุพกพา: ใช้สำหรับรับข้อมูลข่าวสารและคำเตือนสำคัญ ควรเลือกวิทยุที่ใช้แบตเตอรี่หรือแบบชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อความสะดวก
- หน้ากากกรองฝุ่น: ช่วยป้องกันฝุ่นละออง ควัน และสารพิษในกรณีที่เกิดการพังทลายของอาคารหรือไฟไหม้ ควรเลือกแบบที่มีมาตรฐานป้องกันฝุ่น PM2.5
- ชุดเสื้อผ้าสำรองและผ้าห่ม: เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและผ้าห่มสำหรับให้ความอบอุ่นในเวลากลางคืน
การเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้ล่วงหน้าเป็นการป้องกันที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.2 อุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ
- หมวกนิรภัย: ป้องกันศีรษะจากการกระแทกหรือวัตถุที่ตกลงมา ช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในสถานการณ์ที่อันตราย เช่น การทำงานในไซต์ก่อสร้างหรือพื้นที่ที่มีโครงสร้างไม่มั่นคง
- รองเท้าทรงแข็ง: ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเหยียบของมีคมหรือวัตถุอันตรายในพื้นที่ที่มีซากปรักหักพัง หรือพื้นที่ที่มีพื้นผิวขรุขระ ช่วยปกป้องเท้าให้ปลอดภัยจากการบาดเจ็บ
- ถุงมือกันบาด: ผลิตจากวัสดุที่ทนต่อการบาดหรือการฉีกขาด เหมาะสำหรับการยกหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีขอบคมหรือพื้นผิวหยาบ ลดโอกาสเกิดแผลบนมือขณะทำงาน
- นกหวีด: เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือได้โดยใช้แรงน้อยกว่าการตะโกน

3. เทคโนโลยีสมาร์ทโฮม
เทคโนโลยีสมาร์ทโฮมสามารถช่วยเพิ่มระดับความปลอดภัยในบ้านได้ในช่วงแผ่นดินไหว ด้วยการใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ
3.1 อุปกรณ์ตรวจจับแผ่นดินไหว
อุปกรณ์ตรวจจับแผ่นดินไหวแบบสมาร์ทสามารถให้การแจ้งเตือนล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนเข้ามาใกล้ ช่วยให้มีเวลาเตรียมความพร้อมและอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย ตัวอย่างอุปกรณ์ยอดนิยม ได้แก่ Xiaomi Mijia Smart Earthquake Sensor ที่มีการตรวจจับแรงสั่นสะเทือนได้แม่นยำ หรือ Quake Alarm ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในบ้านโดยเฉพาะ
3.2 วาล์วปิดแก๊สอัตโนมัติ
การรั่วไหลของแก๊สในช่วงแผ่นดินไหวอาจนำไปสู่การเกิดอัคคีภัยที่รุนแรง วาล์วปิดแก๊สอัตโนมัติ เช่น Seismic Valve Pro สามารถปิดระบบแก๊สได้ทันทีเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน ช่วยลดความเสี่ยงและให้ความอุ่นใจมากกว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน
3.3 ระบบไฟฟ้าสำรอง
ในกรณีที่ไฟฟ้าถูกตัดขาดหลังแผ่นดินไหว การมีระบบไฟฟ้าสำรองจะช่วยให้ยังคงมีพลังงานใช้งานได้
- เครื่องกำเนิดไฟฟ้า: เหมาะสำหรับให้พลังงานในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น การเปิดไฟ การชาร์จอุปกรณ์ หรือการใช้งานเครื่องมือสำคัญ
- แบตเตอรี่โซลาร์เซลล์: เป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหลัก โดยสามารถเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ไว้ใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน

4. ความปลอดภัยของเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
4.1 การยึดเฟอร์นิเจอร์เข้ากับผนัง
เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เช่น ตู้หนังสือหรือตู้เก็บของ ควรติดตั้งกับผนังด้วยเหล็กยึดหรือสกรูที่มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันการล้มโดยเฉพาะในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวหรือแรงสั่นสะเทือน นอกจากนี้ การตรวจสอบความแน่นหนาของอุปกรณ์ยึดเป็นประจำก็สำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเฟอร์นิเจอร์จะไม่หลุดออกจากผนัง
4.2 การใช้สายรัดสำหรับแผ่นดินไหว
สายรัดหรือเทปกาวที่ออกแบบสำหรับแผ่นดินไหว เช่น QuakeHOLD! เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยยึดอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือของตกแต่ง เช่น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือแจกัน ให้แน่นหนายิ่งขึ้น การใช้สายรัดเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงที่อุปกรณ์จะล้มลงมาและสร้างความเสียหาย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวสูง
4.3 การจัดวางสิ่งของอย่างเหมาะสม
- ของหนัก เช่น หนังสือหรือเครื่องครัว ควรวางไว้ด้านล่างของชั้นวาง เพื่อป้องกันการตกหล่นและสร้างความเสียหาย
- ไม่ควรเก็บของเปราะบาง เช่น แก้ว แจกัน หรือกรอบรูป ในชั้นบนสุดเนื่องจากมีโอกาสตกหล่นและแตกหักได้ง่าย
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชั้นวางของมีความแข็งแรงและสามารถรับน้ำหนักของสิ่งของได้อย่างปลอดภัย และหลีกเลี่ยงการวางสิ่งของจนเกินความจุที่กำหนด

5. การเตรียมพร้อมในครอบครัวและชุมชน
5.1 วางแผนฉุกเฉินสำหรับครอบครัว
- ระบุสถานที่ปลอดภัยในบ้านเพื่อใช้เป็นจุดหลบภัย เช่น ใต้โต๊ะที่แข็งแรงหรือบริเวณที่ไม่มีสิ่งของตกหล่น
- เตรียมเบอร์โทรศัพท์สำคัญ เช่น เบอร์โรงพยาบาล, ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย, และเบอร์ติดต่อญาติหรือเพื่อนสนิทในกรณีฉุกเฉิน
- จัดเตรียมกระเป๋าฉุกเฉินที่ประกอบด้วยอาหาร น้ำดื่ม ยา และไฟฉายไว้ให้พร้อมเสมอ
5.2 การสร้างเครือข่ายในชุมชน
- ประสานงานกับเพื่อนบ้านเพื่อแบ่งปันทรัพยากร เช่น น้ำสะอาด อาหาร หรืออุปกรณ์ช่วยเหลือ
- จัดกิจกรรมซ้อมแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติอื่น ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- สร้างกลุ่มสื่อสารในชุมชน เช่น กลุ่มไลน์หรือเฟซบุ๊ก เพื่อการแจ้งเตือนและช่วยเหลือกันได้อย่างรวดเร็ว
- ส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในชุมชน เพื่อเพิ่มความสามารถในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. วิธีช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
6.1 การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ใต้ซากอาคาร
✅ สิ่งที่ควรทำ
- ประเมินความปลอดภัยของพื้นที่ ก่อนเข้าไปช่วย ตรวจสอบว่ามีความเสี่ยงจากอาคารถล่มซ้ำหรือไม่
- เรียกชื่อผู้บาดเจ็บและสื่อสารกับพวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่ายังมีสติ และช่วยให้พวกเขารู้ว่ากำลังมีคนมาช่วย
- ขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัย หากผู้บาดเจ็บติดอยู่ลึกเกินไป อย่าพยายามเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางด้วยตัวเอง
- ให้กำลังใจและช่วยให้สงบสติอารมณ์ พยายามทำให้พวกเขาสงบ ลดการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้บาดเจ็บรุนแรงขึ้น
- ส่งน้ำหรืออาหารหากสามารถทำได้ โดยไม่ทำให้สถานการณ์แย่ลง
❌ สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ห้ามเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บทันที หากมีอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังหรือศีรษะ ควรให้แพทย์หรือหน่วยกู้ภัยเป็นผู้ดูแล
- อย่าใช้แรงดึงตัวผู้บาดเจ็บออกมาอย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติม
- หลีกเลี่ยงการจุดไฟหรือใช้ไฟฉายที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ หากมีก๊าซรั่ว
6.2 การปฐมพยาบาลสำหรับอาการบาดเจ็บที่พบบ่อยจากแผ่นดินไหว

🩸 บาดแผลเปิด (แผลฉีกขาดหรือแผลมีเลือดออกมาก)
อาการ: เลือดออกมากจากแผลที่ถูกของมีคมหรือเศษซากอาคารบาด
วิธีปฐมพยาบาล:
- ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซกดแผลให้แน่นเพื่อลดเลือดออก
- หากเลือดยังไม่หยุด ให้ยกบริเวณที่มีบาดแผลให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ
- ใช้ผ้าพันแผลหรือเทปพันแผลปิดบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- รีบพาผู้บาดเจ็บไปพบแพทย์หากเลือดยังไหลไม่หยุด
ข้อควรระวัง:
- ห้ามใช้ผ้าสกปรกมาปิดแผล เพราะอาจทำให้ติดเชื้อ
- อย่าพยายามดึงวัตถุที่ปักอยู่ในแผลออกเอง ควรปล่อยให้แพทย์เป็นผู้ดูแล

🦴 กระดูกหัก
อาการ: เจ็บปวดบริเวณกระดูก เคลื่อนไหวไม่ได้ กระดูกอาจผิดรูป หรือเห็นกระดูกโผล่ออกมา
วิธีปฐมพยาบาล:
- ห้ามเคลื่อนไหวบริเวณที่หัก เพื่อลดความเสียหาย
- ใช้ ไม้ดามหรือผ้าพันขาหรือแขน ไว้กับอุปกรณ์ที่แข็งเพื่อป้องกันการเคลื่อนไหว
- ใช้ น้ำแข็งห่อผ้าประคบเพื่อลดอาการบวม
- รีบนำส่งแพทย์โดยพยายามให้ร่างกายของผู้บาดเจ็บอยู่นิ่งที่สุด
ข้อควรระวัง:
- ห้ามพยายามจัดกระดูกกลับที่เอง อาจทำให้กระดูกแตกเพิ่ม
- หากกระดูกโผล่ออกมา อย่าพยายามดันกลับเข้าไป

💧 ภาวะขาดน้ำและอ่อนเพลียจากการติดอยู่ในซากอาคารนาน ๆ
อาการ: ปากแห้ง ปวดหัว วิงเวียน หน้ามืด อ่อนเพลีย
วิธีช่วยเหลือ:
- ให้ดื่มน้ำทีละน้อยเพื่อป้องกันอาการช็อก
- หากไม่มีน้ำสะอาด ให้ดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่หรือใช้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่
- หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวมากเกินไปเพื่อประหยัดพลังงาน
ข้อควรระวัง:
- ห้ามให้ดื่มน้ำเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
- หากผู้บาดเจ็บหมดสติและไม่ตอบสนอง ให้รีบแจ้งหน่วยแพทย์ทันที
|
สรุป วิธีช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
|