การที่สเตฟาโน โดเมนิคาลี ซีอีโอของฟอร์มูลาวัน เดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพียงแค่การเยือนทางการทูตธรรมดา แต่อาจเป็นสัญญาณที่ทำให้หลายฝ่ายเริ่มคิดและตีความว่าความฝันของคนไทยที่จะได้รับชมการแข่งขันสุดยอดรถแข่งที่จัดขึ้นบนถนนของประเทศเรากำลังจะกลายเป็นความจริง
การพบกันครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้เกิดการแข่งขันระดับโลกอย่างกรังด์ปรีซ์ หรือ Grand Prix บนแผ่นดินไทย และยังชี้ให้เห็นว่าการเจรจาน่าจะมีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี แต่คำถามสำคัญคือ ทำไมทาง F1 จึงให้ความสนใจในประเทศไทยมากขนาดนี้ และทางฝ่ายประเทศเราเองพร้อมจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันระดับโลกแล้วหรือยัง
ย้อนดูการพบกันครั้งแรก
ขอขอบคุณรูปภาพจาก website: ข่าวสด
การพบกันครั้งแรกระหว่างเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และสเตฟาโน โดเมนิคาลี ประธานกรรมการบริหารของฟอร์มูลาวัน (Formula One) หรือเอฟวัน เมื่อเดือนเมษายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล จากคำเชิญของรัฐบาลไทย โดยมีเป้าหมายของการหารือคือประเทศไทยต้องการจะเป็นประเทศเจ้าภาพในการจัด ‘การแข่งขันเอฟวัน’ ซึ่งตรงกันกับความต้องการของทางฝั่งเอฟวันที่ต้องการจัดการแข่งขันที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน การเดินทางมายังประเทศไทยด้วยตนเองของโดเมนิคาลี จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้เกิดกระแสและความหวังในหมู่คนรักกีฬาสายซิ่ง ว่าประเทศไทยมีโอกาสจะได้เป็นเจ้าภาพจริงๆ
ไทยมีศักยภาพพร้อมเป็นเจ้าภาพจัด Formula One ที่กรุงเทพฯ หากสำเร็จผมมั่นใจว่าบ้านเราจะเป็นหนึ่งในเจ้าภาพจัดการแข่งขันที่สร้างความประทับใจได้มากที่สุด ด้วยศักยภาพ สิ่งอำนวยความสะดวก และมิตรไมตรีของคนไทย"
"วันนี้ผมได้หารือร่วม สเตฟาโน โดเมนิคาลี ประธานกรรมการบริหารบริษัท Formula One Group ที่ให้เกียรติเดินทางมาเยือนไทยตามคำเชิญของรัฐบาล เพื่อศึกษาโอกาส สำรวจความเป็นไปได้ ในการใช้ไทยเป็น Street Race หรือสนามจัดการแข่งขัน F1
เศรษฐา ทวีสิน
สัญญาณแห่งความหวังในการพบกันครั้งที่สอง
ขอขอบคุณรูปภาพจาก website: SiamSport
เมื่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้พบกับสเตฟาโน โดเมนิคาลี ซีอีโอฟอร์มูลาวันเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม 2568 นับเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งที่สองแล้วระหว่างตัวแทนของทั้งสองฝ่าย เป็นการส่งสัญญาณที่แข็งแกร่งว่า Thai Grand Prix ไม่ใช่เพียงแค่ความฝันอีกต่อไป
การแข่งขันกีฬาระดับโลกเช่นนี้ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของประเทศไทยในการจัดงานระดับสากล แต่ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
แพทองธาร ชินวัตร
การเยือนครั้งนี้จึงเป็นการมาประเมินถึงความเป็นไปได้อย่างจริงจัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีความจริงใจในการทำให้ความฝันของคนรักมอเตอร์สปอร์ตไทยเป็นจริง
เขตจตุจักร พื้นที่เป้าหมายในการจัดงาน
หนึ่งในคำถามใหญ่ที่ทุกคนสงสัยคือ หากมีการแข่งขันจริง จะจัดที่ไหนและในรูปแบบใด? ระหว่างการแข่งขันในสนามแข่ง (เรซเซอร์กิต) หรือการแข่งขันบนถนน (สตีทเซอร์กิต)
จากการคาดการณ์เบื้องต้น พบว่าการแข่งขันในแบบสตรีทเซอร์กิตดูมีความเป็นไปได้มากกว่า และพื้นที่ที่กลายเป็นเป้าหมายในการจัดงานกลายเป็นเขตจตุจักรและอาจรวมถึงพื้นที่บริเวณรอบๆ อย่างพื้นที่หมอชิต 2 สำหรับการเป็นกริดสตาร์ทและเส้นชัย ส่วนพิตหรือแพ็ดด็อก อาจจะกินพื้นที่สวนสาธารณะที่อยู่ใกล้เคียง เช่น สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สวนวชิระเบญจทัศ (สวนรถไฟ) และสวนจตุจักร แทนพื้นที่เขตชั้นในรอบเกาะรัตนโกสินทร์ที่เคยวาดฝันกันไว้ในอดีต
การจัดแข่งขันในรูปแบบสตรีทเซอร์กิตที่เขตจตุจักรนี้ น่าจะสร้างประสบการณ์ที่งดงามให้แฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลกได้ไม่แพ้สิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ หรือโมนาโก กรังด์ปรีซ์
ทำไม F1 ถึงเลือกไทย? ความเป็นไปได้ของไทย กรังด์ปรีซ์
ปัจจุบันเอฟวันต้องการขยายฐานแฟนออกไปให้ได้มากที่สุดและกว้างไกลที่สุด ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งนอกเหนือจากในทวีปยุโรปที่เป็นฐานหลักของเอฟวันมายาวนาน และตลาดใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่างในตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกาแล้ว ทวีปเอเชียเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพในตัวสูงมาก
1. การเติบโตของตลาดเอเชีย
F1 มองเห็นศักยภาพมหาศาลของตลาดเอเชีย ซึ่งยังมีพื้นที่เติบโตได้อีกมาก ปัจจุบันใน 24 สนามของ F1 มีการแข่งขันในทวีปเอเชีย 7 รายการ แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่เคยเป็นเจ้าภาพ
"นักการตลาดทุกคนฝันถึงการที่เอฟวันจะไปให้ถึงคนเอเชีย" ดาริโอ เดบาร์บิเอรี หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ HCL Software ซึ่งเป็นพันธมิตรของทีมเฟอร์รารี ให้สัมภาษณ์ไว้กับ Financial Times "เอาแค่จีนกับอินเดียเข้ารวมกัน เราจะเข้าถึงผู้คนอีกไม่ใช่แค่หลายล้าน แต่เป็นหลักพันล้าน"
2. ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ F1 ในไทย
กระแสความนิยมของ F1 ในไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งจากผลของสารคดี F1: Drive to Survive บน Netflix และการมีอเล็กซ์ อัลบอน อังศุสิงห์ นักขับลูกครึ่งไทย-อังกฤษจากทีมวิลเลียมส์ที่เป็นขวัญใจคนไทย
ประเทศไทยยังมีฐานแฟนคลับที่กระตือรือร้นและติดตามการแข่งขันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการชมถ่ายทอดสดหรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ F1 ในประเทศอย่างคึกคัก ทำให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างฐานผู้ชมที่เหนียวแน่นในระยะยาว หากเอฟวันสามารถตีตลาดไทยได้ การตีตลาดเอเชียก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
3. การสนับสนุนจากรัฐบาลไทย
สิ่งที่ F1 ต้องการคือเจ้าภาพที่มีความมั่นคงและความพร้อมในการจัดงาน ดังนั้นการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาลไทยเป็นเหมือนเครื่องการันตีว่า F1 จะไม่มีปัญหาเรื่องการจัดการแข่งขัน ซึ่งต่างจากกรณีเวียดนาม กรังด์ปรีซ์ ที่เคยมีแผนจัดการแข่งขันแต่สุดท้ายก็ล้มเลิกไป
4. ตำแหน่งยุทธศาสตร์ของประเทศไทย
ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นหนึ่งในจุดหมายการท่องเที่ยวยอดนิยมของโลก ทำให้การจินตนาการถึงภาพรถแข่ง F1 ซิ่งผ่านถนนไทยเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นและจะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
วิเคราะห์โอกาสและความท้าทาย ความเป็นไปได้ของไทย กรังด์ปรีซ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะปูทางให้ไทยได้เป็นเจ้าภาพอย่างสบายๆ เพราะในขณะที่เราอาจต้องพยายามจัดการตัวเองเพื่อให้พร้อมกับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโดยเฉพาะในเรื่องของสนามแข่ง ก็ยังมีอีกหลายชาติที่ต้องการและพร้อมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน
นอกจากประเทศไทยแล้ว ในเหล่าประเทศเอเชียก็มีเกาหลีใต้ที่ให้ความสนใจในการเป็นเจ้าภาพเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังมีประเทศรวันดา จากแอฟริกาที่อยากเป็นประเทศในทวีปที่ได้โอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอฟวัน และอาร์เจนตินาจากอเมริกาใต้ที่เคยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในปี ค.ศ. 1998 แล้ว ก็สนใจที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพอีกครั้งเช่นกัน
ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีสัญญาณที่น่าประทับใจและชวนคาดหวังสำหรับโอกาสในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในประเทศของไทย แต่ประเทศของเราและรัฐบาลก็ยังต้องมีการเตรียมความพร้อมหลายอย่างและมีหลายสิ่งที่ต้องทำโดยเฉพาะการจัดทำแผนแม่บทอย่างเป็นทางการสำหรับการจัดการแข่งขัน และในส่วนของการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน การขนส่ง เทคโนโลยี ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งในขณะนี้ไทยยังไม่มีตัวเลขออกมาอย่างชัดเจนว่าจะต้องใช้งบประมาณทั้งหมดเท่าไร เพราะนอกจากค่าใบอนุญาตจัดการแข่งขัน ที่มีมูลค่ามหาศาลขึ้นอยู่กับการตกลงในแต่ละประเทศ ตั้งแต่ปีละ 20-50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (670-1,680 ล้านบาท) ซึ่งจะแปรผกผันกับอีกหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาของสัญญา ซึ่งหากสัญญายาวก็ยิ่งจ่ายต่อปีน้อย
ความนิยมของสนามแข่ง ที่ยิ่งได้รับความนิยมมากยิ่งจ่ายน้อย และมูลค่าการตลาด ซึ่งหากตลาดมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสูงก็จะจ่ายแพงกว่า แต่มีแนวโน้มที่จะใช้งบประมาณมากกว่ากรณีของ สตรีท ไนท์ เรซ สิงคโปร์ ที่มีการใช้งบประมาณการลงทุนราว 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,100 ล้านบาท
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์รอบด้านที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ ที่ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการตัดสินใจว่าคุ้มค่าพอที่จะเดินหน้าต่อหรือไม่ รวมถึงมองว่านอกเหนือจากในด้านการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศ จะมีอะไรบ้างที่เราสามารถเก็บเกี่ยวจากการได้จัดงานกรังด์ปีซ์ การแข่งขันระดับโลกแบบนี้ได้อีก
อ้างอิงข้อมูล:
กรุงเทพธุรกิจ (2568), ไทย กรังด์ปรีซ์ 2028 สำคัญขนาดไหน? ทำไม F1 ถึงอยากมาจัดการแข่งขันที่ไทยให้ได้