เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ทุกพื้นที่จึงมีการพัฒนาตลอดเวลาเพื่อให้ทันยุคสมัยและตอบรับความต้องการของคนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ของโครงการอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบ “มิกซ์ยูส (mixed-use)” ซึ่งนับว่าเป็นทิศทางในการพัฒนาพื้นที่เพื่อจัดสรรให้องค์ประกอบและทรัพยากรต่าง ๆ ประสานประโยชน์ร่วมกัน ทั้งโรงแรม สำนักงาน ศูนย์การค้า และที่อยู่อาศัย เป็นต้น รวมทั้งสามารถวางแผนเพื่อให้ใช้ประโยชน์ของพื้นที่ได้เต็มศักยภาพมากที่สุด แต่โจทย์ความท้าทายที่สำคัญคือ การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ ความทรงจำ และเรื่องราวของพื้นที่นั้น ๆ ให้ยังคงคุณค่าความทรงจำที่สวยงามจากอดีต และต่อเติมความทันสมัยเพื่อฟื้นชีวิตชีวาและนำพาทั้งพื้นที่สู่ความสมบูรณ์แบบที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน
โดยวันนี้ เราขอชวนคุณมาพบกับ 5 โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก ที่นอกจากจะสร้างสรรค์บนพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์แล้ว ยังมีความน่าสนใจด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติผ่านการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ให้แก่ชุมชนโดยรอบ รวมถึงประสบการณ์ใหม่บนพื้นที่โครงการ Dusit Central Park
|
The Global Visionaries of Mixed-use Design
|
โครงการมิกซ์ยูสระดับโลก Bridging Transformation and Innovation: The Global Visionaries of Mixed-use Design
1. Battersea Power Station – กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรม สู่อาณาจักรแห่งไลฟ์สไตล์ของมหานครลอนดอน
ผู้ดำเนินการพัฒนา โดย Battersea Power Station Development Company

The Battersea Power Station คือโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินที่ตั้งตระหง่านในย่าน Nine Elms ทางทิศใต้ของแม่น้ำเทมส์ ณ กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความรุ่งโรจน์แห่งอุตสาหกรรมของสหราช อาณาจักร ที่ครั้งหนึ่งเคยผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งต่อความสว่างไสวให้ชาวเมืองลอนดอนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1935 โดยตัวอาคารเดิมเป็นสถาปัตยกรรมอิฐสูงใหญ่เป็นวัสดุหลักเสริมโครงสร้างเหล็ก ภายนอกใช้ปูนมอร์ตาร์เพื่อให้รูปลักษณ์ของโรงไฟฟ้าลดความเป็น ‘อุตสาหกรรม’ บนอาคารขนาดมหึมาริมแม่น้ำ พร้อมสร้างความ ‘เป็นมิตร’ ทางสายตาแก่ผู้พบเห็นมากขึ้น ที่โดดเด่นคือไอคอนสำคัญอย่าง ปล่องไฟขนาดใหญ่ทั้ง 4 ปล่องที่มีควันไฟพวยพุ่ง ก่อนปิดตัวลงอย่างถาวรในปี ค.ศ.1983 อย่างไรก็ตาม รูปแบบสถาปัตยกรรมของ The Battersea Power Station ได้รับการพิสูจน์ด้านคุณค่าด้านสถาปัตยกรรม โดยในปี ค.ศ. 2007 The Battersea Power Station ได้รับเลือกให้เป็นอาคารอนุรักษ์ Grade II และ Grade II* ปัจจุบัน ได้ถูกวางแผนพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กขนาดใหญ่ เพื่อสร้างปรากฎการณ์ครั้งสำคัญและพื้นที่ไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ให้กับชาวลอนดอน กับโครงการมิกซ์ยูสที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1.65 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 570,000 ล้านบาท) ซึ่งประกอบด้วย ที่อยู่อาศัย ศูนย์การค้า และสำนักงาน โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 7 เฟส จากปี ค.ศ. 2014 และจะแล้วเสร็จปี ค.ศ. 2025 บนพื้นที่ก่อสร้างกว่า 169,968 ตารางเมตร ถือเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ประวัติศาสตร์รอบมหานครลอนดอน อีกด้วย พื้นที่ของโครงการฯ ถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์การค้าตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของโครงการ ศูนย์ความบันเทิงต่าง ๆ อย่างโรงภาพยนตร์และโถงจัดกิจกรรมขนาดใหญ่อยู่บริเวณชั้น 2 และมีสำนักงานต่าง ๆ โดยพื้นที่ชั้น 6 จะเป็นส่วนของสำนักงาน Apple ด้านบนสุดของตัวอาคารจะเป็นพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ปล่องไฟได้เปลี่ยนเป็นปล่องลิฟต์ ที่นำผู้คนขึ้นไปสู่ลานโล่ง ณ ปลายปล่องเพื่อชมวิวของเมืองลอนดอน นอกจากนี้ บริเวณดาดฟ้าโครงการได้ปรับเป็น สวนลอยฟ้ารวบรวมพันธุ์ไม้กว่า 55 ชนิด ขนาด 29,000 ตารางเมตร เพื่อให้ชาวเมืองได้ใช้ประโยชน์สูงสุด และเชื่อมโยงระหว่างโครงการ ผู้คน และเมืองลอนดอนได้เป็นอย่างดี
2. The Refinery at Domino – นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
จากโรงงานกลั่นน้ำตาลที่เก่าแก่ที่สุดในนิวยอร์ก สู่โครงการมิกซ์ยูสทันสมัยริมแม่น้ำ
ผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการ โดย Two Trees Management

บรูคลิน หนึ่งในโบโรห์ของมหานครนิวยอร์ก ‘เมืองหลวงของโลก’ คือ เขตที่มีชื่อเสียงในฐานะเขตธุรกิจและเขตที่อยู่อาศัย ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม รวมไปถึงสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่มีเอกลักษณ์มากมาย หนึ่งในสถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านั้น คือ อาคาร Domino Sugar Refinery ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำอีสต์ย่านวิลเลียมสเบิร์ก ในบรูคลิน เดิมได้ก่อสร้างขึ้นเป็นโรงกลั่นน้ำตาลในปี ค.ศ. 1856 โดยบริษัท Domino Foods บริษัทน้ำตาลที่มีอิทธิพล มากที่สุดในสหรัฐอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำอีสต์นับเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจ ซึ่ง ณ เวลานั้นใช้การขนส่งทางน้ำเป็นหลัก ต่อมาความต้องการน้ำตาลลดลง ทำให้ปิดตัวลงในปี ค.ศ. 2004 ด้วยสถาปัตยกรรมของฟาซาดในยุคโรมาเนสก์ จึงถูกอนุรักษ์ไว้และกลายเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดในนิวยอร์ก ต่อมาในปี ค.ศ. 2014 แผนการคืนชีวิตให้แก่พื้นที่นี้ในฐานะโครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ ‘The Refinery at Domino’ จึงเริ่มขึ้น โดยบริษัท Two Trees Management โครงการดังกล่าวมูลค่าการลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 1 ล้านล้านบาท) ถูกออกแบบให้มีทั้งส่วนของร้านค้า อพาร์ตเมนต์จำนวน 3,415 ยูนิต อาคารสำนักงาน ขนาด 43,000 ตารางเมตร และพื้นที่สาธารณะสีเขียวแม่น้ำขนาด 20,000 ตารางเมตร พื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 330,000 ตารางเมตร โดยพื้นที่ยังถูกออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับถนนได้โดยง่าย เพื่อเพิ่ม accessibility ให้แก่พื้นที่ที่ต้องการสร้างความกลมกลืนระหว่างโครงการฯ และชุมชนเข้าด้วยกัน สำหรับตัวโครงการ แบ่งออกเป็น 5 อาคาร โดยมีอาคาร Refinery ที่เป็นอาคารสำนักงาน ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสานงานศิลปะเพื่อให้อาคารกระจกกลมกลืนกับฟาซาดอิฐของโรงงานกลั่นน้ำตาลด้านใน เสริมความทันสมัยด้วยโดมเรือนกระจก ในส่วนของ ‘The Vault’ พื้นที่ Multi-use วางดีไซน์ไว้ชั้นบนสุดสูงถึง 9 เมตร มอบวิวท้องฟ้าและทิวทัศน์ของแม่น้ำอีสต์แบบ 360 องศา โดยตัวอาคารนับเป็นจุดศูนย์กลางที่ถูกห้อมล้อมด้วยอาคารสำหรับที่อยู่อาศัย ร้านค้า โรงเรียน ฟิตเนส co-working space และมีพื้นที่ริมน้ำสาธารณะวางให้เป็นลานวิ่งออกกำลังกาย เครื่องเล่นสำหรับเด็ก และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย และทุกไลฟ์สไตล์ กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของชาวนิวยอร์ก โดยโครงการนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ ในปี ค.ศ. 2030
3. Azabudai Hills – กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
การเติบโตของเมืองสู่เส้นทางชีวิตวิถีใหม่ที่เชื่อมโยงผู้คนและธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน
ผู้ดำเนินการพัฒนาโครงการ โดย Mori Building

ท่ามกลางการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่งของมหานครโตเกียว ยังมีพื้นที่ที่กำลังรอการพัฒนาอยู่อย่างย่าน Toranomon-Azabudai พื้นที่รอบนอกของเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านไม้และอาคารเก่าที่รอคอยการเปลี่ยนแปลง โดย Mori Building ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้ร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและชุมชนในพื้นที่โดยใช้เวลามากกว่า 30 ปี ในการวางแผนเพื่อยกระดับพื้นที่สู่มิติใหม่ ด้วยการสร้างสรรค์โครงการมิกซ์ยูส ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Modern Urban Village’ ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การสร้างหมู่บ้านในพื้นที่เมืองสมัยใหม่ ที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติและพื้นที่สีเขียวมากกว่า 20,000 ตารางเมตร เปรียบเสมือนโอเอซิสคลายร้อนกลางเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และสายน้ำ เป็นต้น ความโดดเด่นของโครงการ Azabudai Hills คือ อาคารที่อยู่อาศัย 4 อาคาร รวมจำนวนกว่า 1,400 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยรวม 860,400 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุนกว่า 4.4 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) ที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งภายในพื้นที่ของแต่ละอาคารจะมี Center Court เป็นพื้นที่มิกซ์ยูสที่นำเสนอไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ทั้งพื้นที่เชิงพาณิชย์ พื้นที่อาคารสำนักงาน พื้นที่โรงแรม พื้นที่สำหรับ เล่นกีฬาและสันทนาการ รวมไปถึงพื้นที่จัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมอบความเชื่อมโยงของคอมมิวนิตี้ภายในโครงการฯ ด้วยการเชื่อมต่อของพื้นที่แบบ Walkable design ที่ทำให้สามารถเดินถึงกันได้อย่างสะดวกสบายไร้รอยต่อ นอกจากนี้ ภายในโครงการฯ ยังมีพื้นที่ศูนย์เวชศาสตร์ป้องกัน ‘Keio University Center for Preventive Medicine’ ที่ให้ความรู้และออกแบบกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพเพื่อคนในชุมชน อาทิ ฟิตเนส สปา ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ พื้นที่พืชสวนครัว และตลาดผักและผลไม้สด สำหรับภายนอกโครงการฯ ยังรายล้อมด้วยสถานที่สำคัญและจำเป็นต่อไลฟ์สไตล์ ทั้งโรงแรมชั้นนำ สถานพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติ รวมทั้งสามารถเดินทางเชื่อมต่อสู่พื้นที่อื่นๆ ด้วยระบบสถานีรถไฟใต้ดินที่ตั้งอยู่ข้างโครงการฯ 2 สาย ทั้งสาย Tokyo Metro Namboku Line และสาย Tokyo Metro Hibiya Line
4. Tian An 1000 Trees – มหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
การเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมัยใหม่ ความศิวิไลซ์ที่ไม่เคยลืมรกราก
ผู้ดำเนินการพัฒนา โดย Tian An China Investment

นครเซี่ยงไฮ้ หนึ่งในสี่นครปกครองโดยตรงของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในเมืองที่พัฒนา มากที่สุดในโลก และหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ในช่วงปี ค.ศ. 1930 เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ ด้านการขนส่งและเป็นที่ตั้งของโกดังและโรงงานจำนวนมาก เพื่อใช้ประโยชน์จากการที่มี Suzhou Creek หรือ แม่น้ำอู่ซ่ง ไหลพาดผ่านเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่ช่วยรองรับการขนส่งสินค้าไปยังตัวเมืองชั้นในของประเทศจีน ในเวลาต่อมา จากการขยายตัวของเมืองที่มีผู้คนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ โรงงานเหล่านี้จึงได้ย้ายออกไปตั้งที่อื่น เหลือทิ้งไว้เพียงเศษซากอาคารโรงงานและโกดังริมแม่น้ำ เมื่อเวลาผ่านไป ซากอุตสาหกรรมและน้ำเสียจากการขยายตัวของเมืองก็ได้สร้างมลพิษให้แก่แม่น้ำอู่ซ่งเป็นอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1992 รัฐบาลประชาชนเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้จึงได้ริเริ่มโครงการพัฒนาเมืองในแถบนี้ จนเกิดเป็นโครงการ Suzhou Creek Rehabilitation ในปี ค.ศ. 1998 เพื่อพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำที่มีความยาวกว่า 40 กิโลเมตรสายนี้ โดยโครงการ Tian An 1000 Trees เริ่มต้นก่อสร้างในปี ค.ศ. 2014 และด้วยแรงบันดาลใจจากทัศนียภาพ ที่สวยงามของเทือกเขาหวงซาน โครงการแห่งนี้จึงมีสถาปัตยกรรมคล้ายภูเขาสวยงามแปลกตา ทว่ามีความลื่นไหลและดูไร้ขอบเขต ที่ทุกองค์ประกอบรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวจากโครงสร้างคล้ายเสากว่า 1,000 ต้น ที่ทุกต้นมีพืชพรรณปลูกบนยอดรวมกว่า 70 สายพันธุ์ โดย Tian An 1000 Trees เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว่า 300,000 ตารางเมตร รายล้อมไปด้วยพื้นที่เชิงพาณิชย์หลากหลายรูปแบบเพื่อความต้องการของทุก ๆ คน เช่นร้านอาหาร คาเฟ่ สตรีทฟู้ด ซูเปอร์มาร์เก็ต ไปจนถึงร้านค้าระดับลักชูรี่ พื้นที่เพื่อความบันเทิงอย่างโรงภาพยนตร์ ทั้งภายในและภายนอกอาคาร พื้นที่สำนักงาน และโรงแรมบูทีคหรูที่มอบวิวสวนและวิวแม่น้ำอู่ซ่งที่สวยงามสุดสายตา นอกจากไลฟ์สไตล์สมัยใหม่แล้ว ผู้มาเยือนจะยังได้สัมผัสกับประสบการณ์รูปแบบใหม่ ผ่านไฮไลต์สำคัญอย่าง M50 Arts District เขตศิลปะร่วมสมัยที่จัดแสดงศิลปะจากทั่วโลกและเป็นที่ตั้งของสตูดิโอศิลปะนับร้อยแห่ง ซึ่งได้รับการยกย่องทัดเทียมกับย่านโซโหของนครนิวยอร์ก และ 798 Art Zone ของกรุงปักกิ่ง รวมไปถึงการอนุรักษ์อาคารเก่าแก่บางส่วนที่มีมาแต่เดิมอย่างโรงโม่แป้งฟู่เฟิง (Fufeng Flour Mill) และโกดังเก็บของเก่า ด้วยแนวคิดของการฟื้นคืนชีวิตเพื่อแสดงความเคารพต่อวัฒนธรรมที่รุ่มรวยของเซี่ยงไฮ้ในอดีต โครงการ Tian An 1000 Trees จึงเป็นมากกว่าโครงการพัฒนาทั่วไป คือเป็นโครงการที่นำธรรมชาติกลับคืนมาสู่มนุษย์ที่แสดงออกถึงชีวิตชีวาและความอบอุ่นของสายสัมพันธ์ที่กลมเกลียวระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติมาตั้งแต่อดีตกาล เกิดเป็นโอเอซิสสีเขียวแห่งใหม่ที่จะเป็นปอดของเมือง และเป็นที่นัดพบแห่งใหม่ของชาวเซี่ยงไฮ้และนักท่องเที่ยว
5. Dusit Central Park – กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
Here for Bangkok
ผู้ดำเนินการพัฒนา โดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

สีลม คือ 1 ใน 3 ของถนนสายแรกที่ก่อสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ เส้นทางแห่งการค้าและพาณิชย์ของชาวต่างชาติ ตลอดจนที่ที่พำนักของขุนนางและคหบดีชั้นสูง ดังนั้น บนพื้นที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยบ้านไม้สไตล์ฝรั่งที่สวยงาม รวมไปถึงโบสถ์ โรงเรียนคริสเตียน และยุคสมัยของรถรางที่เข้ามาช่วยเรื่องความสะดวกสบายในการสัญจรมากขึ้น ต่อมาด้วยวิสัยทัศน์ของ รัชกาลที่ 6 ได้มีการสร้างสวนสาธารณะ “สวนลุมพินี” ขึ้นเป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพาณิชย์ทั้งการก่อสร้างอาคารสูง 3 - 5 ชั้น จนถึง 10 ชั้น และการเข้ามาของบริษัทข้ามชาติมากมาย จนถูกขนานนามว่าเป็น “วอลล์สตรีท” ของประเทศไทย และถูกพัฒนาจนกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ที่มีความหลากหลายสำหรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ยังคงอยู่เมื่อมีการพัฒนาในแต่ละยุคสมัย นั่นคือ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ด้วยความสูง 23 ชั้น ทำให้เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย ณ ขณะนั้น และเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่ที่โดดเด่นเป็นสง่า และอยู่เคียงคู่คนไทยจนเป็นแลนด์มาร์กสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นหนึ่งในโครงการที่คอยต้อนรับคนไทยและต่างชาติ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของถนนสีลมเสมอมา
ตลอดจนปัจจุบัน โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ได้ก้าวข้ามแต่ยังคงสานต่อความงดงามของไทย สู่การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่ไม่เหมือนใครด้วยแนวคิด Here for Bangkok สร้างสรรค์บริบทใหม่แห่งการใช้ชีวิตของคนเมืองและนำกรุงเทพฯ ไปสู่ยุคสมัยใหม่อีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นในพัฒนาเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครที่ดีสุดอีกแห่งหนึ่งของโลก บนพื้นที่กว่า 23 ไร่ (440,000 ตารางเมตร) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก ได้แก่
- Dusit Thani Bangkok โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ หรูระดับ 5 ดาว บนตึกความสูง 39 ชั้น ที่มอบประสบการณ์พักผ่อนเหนือระดับในภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยความหรูหราอันมีเอกลักษณ์ของห้องพักและห้องสวีท 257 ห้อง เบื้องหน้าทัศนียภาพอันงดงามของสวนลุมพินีและขอบฟ้ากรุงเทพมหานคร พร้อมสร้างสรรค์บริการอาหารและเครื่องดื่มรสเลิศจากห้องอาหารและบาร์หรู อาทิ คานนูบี บาย อุมแบร์โต บอมบานา, พาวิลเลียน, สไปร์ รูฟท็อป บาร์, 1970 บาร์, แกรนด์ ล็อบบี้ บาร์ และดุสิตกูร์เมต์ ผสานการบริการอย่างไทยที่สง่างามและทรงเสน่ห์ของดุสิต โดยได้เปิดต้อนรับแขกให้เข้ารับบริการแล้วเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา
- The Residences at Dusit Central Park โครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ที่นำเสนอลีฟวิ่งไลฟ์สไตล์ 2 รูปแบบภายในอาคารเดียว ทั้ง Living Concept เป็น Dusit Residences (ดุสิตเรสซิเดนเซส) และ Dusit Parkside (ดุสิตพาร์คไซด์) ที่โดดเด่นด้วยการดีไซน์ที่ผสมผสานกับศาสตร์ของฮวงจุ้ยที่คำนึงถึงแสงและทิศทางลม เป็นอย่างดี มาพร้อมการรองรับด้วย Branded Residences การบริการเหนือระดับแบบ Gracious Hospitality และมาตรฐานรับรองอาคารเขียวระดับโลก LEED Gold V.4.1 Residence Multi-Family เป็นอาคารที่พักอาศัยแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับมาตรฐานรับรองนี้ และด้วยความสูงถึง 299 เมตร จึงเป็นอาคารที่สูงที่สุด 1 ใน 5 ของประเทศไทย รับรองโดย สภาตึกสูงและที่อยู่อาศัยในเมือง CTBUH
- Central Park Offices ตึกออฟฟิศระดับพรีเมี่ยมของคนเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันและนวัตกรรมอันทันสมัย บนทำเล Super Core CBD ดีที่สุดใจกลางเมือง พร้อมมอบคุณภาพชีวิตเหนือระดับ The Future Work/Life for Global Visionaries
- และพื้นที่เชิงพาณิชย์ Central Park Retail ศูนย์การค้าคอนเซ็ปต์ใหม่ ที่รวบรวมแบรนด์ชั้นนำทั้งจากในไทยและแบรนด์ระดับโลก พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสาน Curated Experience เข้ากับ Park Life เพื่อสร้างสรรค์ The New Luxury คอนเซ็ปต์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยทั้ง Central Park Offices และ Central Park Retail จะเปิดให้บริการภายในปีนี้

นอกจากนี้ ยังได้มอบพื้นที่สีเขียว คือ สวนสาธารณะลอยฟ้าขนาดใหญ่ 7 ไร่ (11,200 ตารางเมตร) “Roof Park” ที่มี พรรณไม้ทั้งน้อยใหญ่ ที่โครงการฯ ได้ศึกษาและคัดเลือกมาเป็นอย่างดี อาทิ ทับทิมสยาม เล็บมือนาง เฟิร์นบอสตัน ลิ้นมังกร พลูด่าง เจอราเนียม สนหอม ดาวเรือง จามจุรี และพิทูเนีย เป็นต้น ที่ถูกออกแบบให้เป็นโอเอซิสสีเขียวขนาดใหญ่แลดูคล้ายเนินเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่เมื่อมองลงมาจากยอดจะพบกับทัศนียภาพที่สวยงามและรื่นรมย์ของสีเขียวที่เชื่อมต่อกับสวนลุมพินี อย่างไร้ที่สิ้นสุด (Infinity Park) ซึ่งภายในมีพื้นที่กิจกรรม อาทิ Natural Trail และ Jogging Track รวมไปถึงจุดสันทนาการรูปแบบต่างๆ เช่น อัฒจันทร์ สนามเด็กเล่น Food Passage พื้นที่ปิกนิก และพื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์ โดยวางจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานชีวิตของสังคมเมืองผ่านการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) และนิเวศเมือง (Urban Ecology) ที่มอบความสุขและสุขภาพที่ดีให้แก่คน และเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างคุณภาพเมือง ที่จะเปิดให้บริการภายในปีนี้เช่นกัน ให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองวัฒนธรรมแห่งอนาคตที่น่าอยู่อย่างยั่งยืน และกลายเป็นหมุดหมายใหม่ของชาวกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก