ว่าด้วยร่างกฎหมาย Entertainment Complex และผลกระทบซึ่งอาจเป็นแนวทางในการเดินหน้าเศรษฐกิจของประเทศ
เป้าหมายที่เล็งเห็นผ่านโอกาสในการเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย นำมาซึ่งการผลักดันร่างแนวทางพระราชบัญญัติ หรือ พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจรเมื่อปลายปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมานั้น มีมติเห็นชอบผ่านไปได้ด้วยดี โดยล่าสุดได้มีการเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
สถานการณ์ดันร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร เกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มอัตราการหมุนเงินสะพัดภายในประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเพิ่มอัตราการจ้างแรงงานเพื่อกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น นอกจากนี้ยังสามารถแก้ไขปัญหาการพนันใต้ดิน เว็บพนันออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาด้านการพนันผิดกฎหมายที่มีมานาน
ร่างพระราชบัญญัติล่าสุดสถานบันเทิงครบวงจร
ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ใช้ในการขับเคลื่อนประเทศ จากพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรล่าสุดที่เผยแพร่ออกมาโดยร่างขึ้นเพื่อเห็นถึงประโยชน์จากส่วนนี้ในการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเล็งเห็นโอกาสของ Fun Economy ซึ่งจะส่งผลกระทบไปถึงภาคอุตสาหกรรมบันเทิงต่าง ๆ อย่าง อุตสาหกรรมสถานบันเทิง กีฬา และธุรกิจการจัดประชุมและนิทรรศการ ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะรัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น
โครงการ Fun Economy มีตัวอย่างรายได้ในหลายประเทศ โดยเมืองและประเทศที่สร้างรายได้สูงเป็น 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. มาเก๊า มีรายได้มหาศาลถึง 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 2. ลาสเวกัส 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 3. สิงคโปร์ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 4. เกาหลีใต้ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับสุดท้าย 5. ฟิลิปปินส์ ประเทศเพื่อนบ้านที่สร้างรายได้สูงถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากร่างพระราชบัญญัติปรากฏให้เห็นถึงการให้ความสำคัญในการควบคุมดูแล มาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาผลกระทบของสถานบันเทิงครบวงจร มีการกวดขันคุณสมบัติของผู้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานบันเทิง ซึ่งใบอนุญาตมีอายุ 30 ปี และเมื่อครบอายุ จะสามารถต่ออายุได้ไม่เกินคราวละ 10 ปี รวมถึงข้อกำหนดที่อนุญาตให้คนไทยเข้าใช้บริการ แผนการสนับสนุนแรงงานไทย และมาตราที่กล่าวถึงบทลงโทษ
การจะประกอบธุรกิจสถานบันเทิงจะเปิดเพียงกาสิโนแห่งเดียวไม่ได้ หนึ่งในนิยามของ Entertainment Complex คือ การเปิดสถานบันเทิงครบครันซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการเปิดสถานบันเทิงร่วมตามบัญชีแนบท้ายอย่างน้อย 4 ประเภท
1. ห้างสรรพสินค้า
2. โรงแรม
3. ร้านอาหาร ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ หรือบาร์
4. สนามกีฬา
5. ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ
6. สถานที่เล่นเกม
7. สระว่ายน้ำและสวนน้ำ
8. สวนสนุก
9. พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้า OTOP
10. กิจการอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด
เมื่อเปิดสถานบันเทิงครบวงจรแล้ว การกำหนดเกณฑ์การเข้ารับบริการของนักเสี่ยงโชคทั้งหลายก็เป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้กัน ว่าจะส่งผลกระทบในด้านดีหรือไม่ โดยได้กำหนดในหมวด 7 ร่างมาตรา 55 ไว้ว่า ห้ามมิให้บุคคลดังต่อไปนี้ เข้าไปในสถานประกอบการกาสิโน
1. ผู้มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์
2. ผู้ซึ่งสำนักงานสั่งห้ามเข้าสถานประกอบการกาสิโน
3. ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งยังมิได้ลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด
4. ผู้ที่มีลักษณะของบุคคลต้องห้ามตามที่สำนักงานประกาศกำหนด
นอกจากนี้ยังกำหนดค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนไว้ในอัตราค่าธรรมเนียมข้อ (5) ค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย 5,000 บาท และชาวต่างชาติยังไม่มีข้อกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมออกมา
เป็นไปได้จริงหรือที่การพนันจะพัฒนาประเทศ?
ความจริงแล้วการเปิดธุรกิจ ‘กาสิโน’ เป็นวิธีที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้จริง ซึ่งจะเห็นได้ชัดในหลากหลายประเทศโดยการเปิดธุรกิจประเภทนี้จำเป็นต้องวิเคราะห์หลากหลายความเสี่ยง
หากจะพูดถึงเมืองที่ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจคาสิโนนั้น จะขาดดินแดนมาเก๊าแห่งเมืองจีน เมืองที่ถูกขนานนามว่า ‘Las Vegas of Asia’ ไปไม่ได้ มาเก๊าเป็นเขตปกครองพิเศษที่อาศัยอุตสาหรรมกาสิโนเป็นหลักจากสัดส่วนรายได้ของธุรกิจกาสิโนอย่างเดียวที่สูงถึงร้อยละ 80 โดยเก็บรายได้มหาศาลจากภาษีกาสิโนร้อยละ 40 ของรายได้ และการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของผู้รับสัมปทานใหญ่และสัมปทานย่อยมากมาย ส่งผลให้เกิดการเปิดคาสิโนในมาเก๊าเป็นจำนวนมาก ทั้งเกิดการลงทุนและจ้างงานมากขึ้น โดยรวมแล้วทำให้แหล่งรายได้หลักของรัฐบาลเพิ่มขึ้นสูง และรัฐบาลได้นำผลประโยชน์นั้นมาเป็นเงินสวัสดิการทางสังคมและการพัฒนาสาธารณูปโภค โดยรัฐบาลสามารถนำไปใช้ในการบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพรวมทางเศรษฐกิจจึงดีขึ้นในเวลาต่อมา
ไม่ใช่แค่เมืองแต่คือทั้งประเทศ ‘โมนาโก’ หนึ่งในประเทศผู้เป็นเลิศด้านธุรกิจกาสิโน แต่ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จ โมนาโกเคยขาดแคลนเงินทุนจนประเทศเกือบล้มละลายเมื่อแยกตัวออกจากฝรั่งเศส จุดผลิกพลันชะตาคือการเปิดกาสิโนมอนติคาร์โลในปี ค.ศ. 1865 และการยกเลิกเก็บภาษีรายได้และภาษีมรดกในเวลาต่อมา ซึ่งดึงดูดผู้รักการเสี่ยงโชคทั้งหลายให้เข้าประเทศเป็นจำนวนมากจากการเอื้อเฟื้อผลประโยชน์ และนักท่องเที่ยวหลายรายลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อพักผ่อนและอยู่อาศัยมากขึ้น ผลรวมทั้งหมดของเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้โมนาโกกลายเป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงถึง 8.8 ล้านบาทต่อปี
โอกาสเติบโตที่ได้รับในการตัดสินใจครั้งสำคัญ
อย่างแรกสุดที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ โอกาสเติบโตของภาคอุตสาหกรรมธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ โดยเฉพาะการเติบโตครั้งยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรม Fun Economy ที่ถูกส่งเสริมโดยตรงผ่านสถานบันเทิงครบวงจร โดยครอบคลุมได้หลายภาคส่วนในอุตสาหกรรมมอบความบันเทิง รัฐบาลจึงเล็งเห็นโอกาสว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะสามารถเติบโตได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หากเปิดสถานบันเทิงครบวงจร รัฐบาลไทยและผู้ประกอบการจะก่อเกิดรายได้อย่างมากหากอ้างอิงบทวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่าผลกระทบทางบวกที่จะมีเข้ามา คือ
-
การลงทุนจากต่างชาติ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทต่อแห่ง
-
เพิ่มรายได้การท่องเที่ยว ประกอบด้วย รายได้จากระยะเวลาในการพำนักและค่าใช้จ่ายซึ่งเฉลี่ยต่อคนของชาวต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น
-
เพิ่มรายได้ของธุรกิจสถานบันเทิง ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนรายได้เพิ่มเติมของผู้ประกอบการ แบ่งเป็น
-
รายได้จากการเล่นการพนันกาสิโน หรือในชื่อ Gross Gambling Revenue (GGR)
-
รายได้จากการบริการส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
-
สร้างงาน และ กระจายรายได้
-
การจ้างงานทั้งทางตรงและอ้อมในอุตสาหกรรมบริการ
-
เพิ่มการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบ
-
รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีและอัตราค่าธรรมเนียม
-
การขอรับใบอนุญาต ครั้งละ 100,000 บาท
-
ใบอนุญาต แบ่งเป็น
ครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท
รายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท
-
ใบอนุญาต (ต่ออายุ)
ครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท
รายปี ปีละ 1,000 ล้านบาท
-
ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 5,000 ล้านบาท
-
ค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย ครั้งละ 5,000 บาท
นอกจากนี้ หากมองย้อนกลับไปถึงเป้าหมายของรัฐบาลแล้ว การจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจรจะช่วยแก้ปัญหาที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้เงามืด อย่างการพนันที่ผิดกฎหมาย กล่าวถึงบ่อนการพนันออฟไลน์และเว็บพนันออนไลน์ ให้ขึ้นมาอยู่ในที่สว่างอย่างถูกกฎหมายได้มากขึ้น
และความเป็นไปได้เมื่อเกิดการลงทุนที่มากขึ้นในประเทศ การมีเงินสะพัดในระบบหมุนเวียนมากขึ้น และสำคัญที่สุด คือการเพิ่มขึ้นสูงของระยะเวลาพำนักในหมู่ชาวนักท่องเที่ยว อาจจะทำให้เกิดการเฟ้อของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในเวลาต่อมา
คาดการณ์พัฒนาพื้นที่ 5 ทำเลทองเพื่อพัฒนาอาชีพ
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่การประกาศข่าวผลักดันร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร คาดการณ์ว่าพื้นที่ที่จะได้รับการพัฒนาให้เจริญเติบโตเพิ่มมากขึ้นรองรับการมาพำนักของชาวต่างชาติผู้เสี่ยงโชคจากต่างแดน คาดว่าจะเป็น 5 ทำเลทองซึ่งอยู่ในรัศมีไม่เกิน 100 กิโลเมตรของสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา แบ่งเป็น พื้นที่ภายในกรุงเทพและปริมณฑลสองแห่ง สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตสองจังหวัดที่ขึ้นชื่อในสายตาชาวต่างชาติ และเขตพัฒนาพิเศษอีกหนึ่งแห่ง
หนึ่งในการพัฒนาที่ดินสำคัญคือ ขนาดพื้นที่ที่สามารถรองรับโครงการใหญ่ได้ในระดับหลายพันไร่ ผนวกเข้ากับแรงกำลังของนักลงทุนผู้มีเม็ดเงินมหาศาล พื้นที่โชคดีที่คาดการณ์ไว้ ประกอบด้วย
1. พื้นที่ท่าเรือคลองเตย ที่เตรียมย้ายออก ซึ่งคาดว่ามีพื้นที่ 2,353 ไร่
2. โซนบางกะเจ้า จังหวัดสมุทรปราการ (พื้นที่ฝั่งตรงข้ามท่าเรือคลองเตย)
3. พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
4. จังหวัดเชียงใหม่
5. จังหวัดภูเก็ต
พื้นที่ที่กล่าวถึงข้างต้นต้องสามารถพัฒนาพื้นที่เพื่อสร้างอาชีพให้แก่คนไทยได้จริง จากการพัฒนาที่ดินผ่านโครงการกาสิโนและการพัฒนาอาชีพจะทำให้ค่าครองชีพของคนในพื้นที่สูงขึ้นตามไปด้วย เป้าหมายคือการสร้างงาน สร้างอาชีพ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับชาวไทย
อย่างไรก็ตาม หากร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เกิดขึ้นจริง จะทำให้เกิดเงินหมุนสะพัดในระบบมากขึ้น รัฐบาลจะสามารถนำรายได้ที่ได้รับอย่างมหาศาลไปปรับปรุงเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ ซึ่งเป้าหมายคือการทำเพื่อประชาชน ให้คนไทยมีรายได้ พัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาที่มีมาช้านาน
Soure : สำนักข่าวอิศรา, ข่าวหุ้นธุรกิจ, ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้า, Urban Creature, Silpa-Mag.com